เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ มี.ค. ๒๕๔๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ชีวิตถ้ามันมีความสุขมันก็เพลินนะ ชีวิตถ้ามีความสุขมันจะเพลินไปเร็วมาก ชีวิตนี้สั้นมาก แต่ชีวิตถ้ามีความทุกข์นี่ โอ้โห...แสนยาวไกลเลย พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนวัฏวนนะ เปรียบเหมือนคนเดินกลางทะเลทรายยังมีอีกหนึ่งโยชน์ แต่เดินแล้วมันหมดแรงแล้วนอนอยู่ คือว่าทางมันต้องไปข้างหน้า เหมือนคนไปกลางทะเลทรายไง แล้วนอนหมดสภาพเลยนะ แต่ระยะทางยังต้องเดินไปอีกหนึ่งโยชน์

เหมือนกันเลย ทำไมต้องเดินไปอีกหนึ่งโยชน์ล่ะ ทำไมไม่ต้องเดินตลอดไป เห็นไหม มันมีการที่ว่ามันสิ้นสุดได้ไง ถ้ามันทำถึงสิ้นสุดได้ มันสิ้นสุดได้ คนเราตายต้องเกิดหมด เกิดต้องตายหมด เว้นไว้แต่พระอรหันต์เท่านั้น พระอนาคาก็ไปอยู่บนพรหมเท่านั้น แล้วต้องสิ้นไป เห็นไหม ระยะทางอีกหนึ่งโยชน์ยังต้องเดินต่อไป แต่ก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้นได้เหมือนกัน มีโอกาสที่จะสิ้นสุด จิตนี้ไม่ต้องไปเกิดไปตายอีก...ทำได้ สิ่งนี้ทำได้มันเป็นไปได้ เพียงแต่ว่า พระพุทธเจ้ายังต้องมาเกิดอีก พระศรีอริยเมตไตรยก็จะมาเกิดองค์ต่อไป พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจะมาตรัสรู้ต่อไปๆ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ต่อไป

แต่เรายังไม่เบื่อหน่ายทางโลก เราก็ยังติดทางโลกอยู่ เห็นไหม ถ้าเราเบื่อหน่ายทางโลก เราจะเห็นว่าสิ่งนั้น สิ่งที่ว่าชีวิตนี้มันดำรงอยู่ในการประพฤติปฏิบัตินี่ มันแสนทุกข์แสนยาก เห็นไหม เพศ... เพศหญิง เพศชาย เพศสมณะ เพศพรหมจรรย์ พรหมจรรย์เพื่อปฏิบัติจะออกจากทุกข์ ถ้าปฏิบัติออกจากทุกข์ได้มันจะออกจากทุกข์ได้ ปฏิบัติไม่ออกจากทุกข์มันก็หมักหมม เห็นไหม เหมือนกับเราที่ว่าน้ำเน่า น้ำเน่าน้ำไม่ไหลเวียน กิเลสมันอยู่ในหัวใจมันหมักหมมในใจ มันจะหมักหมมในใจอยู่อย่างนั้น ถ้ามันได้ถ่ายเทออก มันถึงต้องออกมา

“ทาน ศีล ภาวนา” ออกมาธุดงควัตร ออกมามีข้อวัตรปฏิบัติ เพื่ออะไร? เพื่อปฏิปทาเครื่องดำเนิน ถ้ามีถนนหนทางเครื่องดำเนินอยู่ไป เราจะไปได้ ถ้าไม่มีเครื่องดำเนินไปเราจะไปขนาดไหนเราก็ไปไม่ได้ เพราะเครื่องดำเนินมันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม “สุภัททะ เธออย่าถามให้มากไปเลย ถ้าศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ศาสนาไหนมีมรรคศาสนานั้นถึงมีผล ไม่มีรอยเท้าบนอากาศ” เห็นไหม รอยเท้าบนอากาศไม่มี

นี่ก็เหมือนกัน ความที่จะหลุดพ้นไปจากใจ กิเลสจะหลุดพ้นออกไปจากใจ จะไปทำที่อื่นไม่ได้ มันต้องทำลงที่ใจ แล้วใจมันต้องทำตัวมันเอง เห็นไหม มันต้องทำความสงบเข้ามา ทำความสงบเข้ามา นี่เริ่มต้นตั้งแต่ความสงบเข้ามา ความสงบเป็นงานอันใหญ่โตมโหฬารแล้วนะ กว่าใจจะสงบได้ ใจสงบแต่ละครั้งแต่ละคราวนี่ มันฟุ้งซ่านมาก มันเป็นไปตามกระแสโลก เพราะเราเกิดมาในโลก เราเกิดมาพร้อมกับกิเลส กิเลสในหัวใจมันต้องขับไสไปโดยธรรมชาติของมัน

เราจะทำความสงบของใจขึ้นมา ถ้าไม่ทำความสงบของใจขึ้นมา เราใช้ปัญญาเลยก็ได้ ใช้ปัญญาเลย ใช้ความคิดไปเลย คิดขนาดไหนให้มันคิดไปเลย แต่มีสติสัมปชัญญะตามความคิดนั้นไป สิ้นสุดของความคิดแล้วมันต้องหยุดได้ ความหยุดนั้นน่ะ นั่นล่ะสัมมาสมาธิ แต่มันเริ่มจากอ่อนไปหาแก่ เห็นไหม จากความหยุดชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็หยุดบ่อยครั้งๆ เข้า จนเราใช้ความคิดนี่ทัน เวลาความคิดจะเกิดขึ้นมา นั่นน่ะคิดอะไร เห็นไหม มันสามารถยับยั้งความคิดตัวเองได้เลย

ถ้าใช้ความคิดของเราตลอดไป ใช้ความคิดได้ทัน เห็นไหม ความคิดอย่างนั้นเป็นความคิดถ้าแบบว่ากำหนดพุทโธแล้วมันไม่ได้ผล หรือว่าทำความสงบแล้วมันไม่ได้ผล ถ้าไม่มีความสงบเลย ศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดไม่ได้ เกิดไม่ได้ ไม่มีรอยเท้าบนอากาศไง มันไม่ใช่มรรคโดยมรรคสมุจเฉทปหาน มัคคะในการชำระกิเลส มันเป็นมรรคการดำรงชีวิต มันเป็นโลกียะ มันเป็นการดำรงชีวิตอยู่ สัมมาอาชีวะการเลี้ยงชีวิตชอบ การประกอบอาชีพชอบ

ถ้าเลี้ยงชีวิตชอบ การประพฤติปฏิบัติเลี้ยงหัวใจชอบ ความคิดชอบ ความเพียรชอบ ความเห็นชอบในหัวใจอันนั้น ถ้าความเห็นชอบในหัวใจอันนั้น นั่นนะมรรคมันเกิดเกิดตรงนี้ แล้วมันชอบขนาดไหน ชอบในวงของสมถะ มันก็วงทำความสงบเข้ามา ชอบในวงวิปัสสนา เห็นไหม ชอบในวงวิปัสสนา ยกขึ้นวิปัสสนาแล้วมันจะชอบในวิปัสสนา ถ้าชอบในวิปัสสนา นั่นน่ะมรรคเกิดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป

มรรคนี้เกิดจากไหน? เกิดจากเราค้นคว้าขึ้นมา มรรคนี้ไม่มีสำเร็จรูป มรรคนี้ไม่มีการที่ว่าอยู่ในไหน อยู่ในตำรา เห็นไหม ความดำริชอบ ความเพียรชอบ ความระลึก งานชอบ ความระลึกชอบ สติชอบ สมาธิชอบ ชอบนี่ในตำราก็เขียนไว้อย่างนั้น แต่นั่นเป็นชื่อของมัน แต่ผลของมันที่จะเกิดขึ้นมาในหัวใจนี่ เราทำขึ้นมามันเกิดขึ้นมาในใจของเราเอง ถ้ามันเกิดขึ้นมาในใจของเราเอง นั่นน่ะมรรคของเรา มรรคของใจดวงนั้น เห็นไหม ใจดวงนั้นต้องหามรรคขึ้นมาเอง หาการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจากใจดวงนั้นเอง

ถ้าใจดวงนั้นทำได้ ใจดวงนั้นก็จะประสบความสุขไปตลอด เห็นไหม มันเข้าถึงแล้วมันพยายามทำของมันไป นั่นน่ะชีวิตนี้มันถึงจะมีคุณค่า ชีวิตนี้มันถึงมีความปรารถนาไง ดูอย่างอาจารย์มหาบัว เห็นไหม ท่านบอกว่าท่านไปหลงอยู่ที่บ้านค้อ เป็นโรคเจ็บอก เป็นโรคแทงอก นั่นน่ะมันเกิดแล้วมันดับ แล้วมันเป็นโรคเสียดขึ้นมา มันจะตายมันไม่อยากตาย เห็นไหม

ชีวิตนี้มีคุณค่าตรงไหน? ชีวิตมีคุณค่าตรงมันรู้อยู่ว่ามันยังไม่สิ้นไง มันรู้อยู่ว่างานยังมีอยู่ไง ถ้าตายไปมันก็ต้องไปเกิดบนพรหม เห็นไหม ตายไปก็ต้องไปเกิดอีก ถ้าไปเกิดอีกทำไมเราไม่ทำให้มันสิ้นไปนั้นเลย ไปเกิดบนพรหม อายุของพรหม ๘๐,๐๐๐ ปี นี่ ๑๐๐ ปีเราก็ลำบากลำบนขนาดนี้แล้ว ยิ่งชราแก่เฒ่าขึ้นมานะ ช่วยตัวเองไม่ได้มันยิ่งน่ารำคาญตัวเอง ใจมันปรารถนา มันอยากเป็นไป แต่ร่างกายมันไม่ให้เป็นไป มันจะทุกข์ยากขนาดไหน แล้วก็ไปซ้ำอยู่อย่างนั้นอีกเหรอ นี่อายุมันก็ไม่ยาวไกลอย่างนั้น

ย้อนกลับมาไง ถึงว่ายังไม่อยากตาย ยังไม่ต้องการตาย ยังต้องการประพฤติปฏิบัติ ยังเห็นช่องทางว่าจะไปได้อยู่ ขอให้ไปที่สิ้นสุดก่อน ถ้าไปถึงที่สุดแล้วจะตายก็ไม่ว่า ถ้าไปถึงที่สุดแล้วนะ แต่ถ้าเรายังไม่ถึงที่สุดขอให้ได้ทำ ชีวิตนี้สงวนไว้เพื่อการประพฤติปฏิบัติ ชีวิตนี้สงวนไว้เพื่อการต่อสู้กับความเห็นของตัวเอง ต่อสู้กับความคิดผิดของตัวเองไง

ความเห็นผิดของตัวเอง เห็นไหม ความเห็นผิด คนเรามันจะมีความเห็นผิดเพราะกิเลสมันอยู่ในหัวใจ ถ้ากิเลสในหัวใจมันความเห็นของมัน มันต้องผิดพลาดไป มันจะเข้าข้างตัวมันเองไป มันหมุนไปตามความเห็นของมัน เพราะมันอาศัยหัวใจอยู่ เหมือนกับร่างกายมนุษย์นี่ มีร่างกายขึ้นมา เกิดเป็นคนก็มีร่างกายและมีหัวใจ หัวใจนี่มันปฏิสนธิขึ้นมา ร่างกายนี้ถึงตามมา เห็นไหม เวลาตายไปก็ทิ้งร่างกายนี้ไป ใจก็หลุดออกไป ทิ้งร่างกายไว้คืนธรรมชาติเขาไป แต่ใจนี้หลุดออกไป

กิเลสก็เหมือนกัน มันเกิดดับอยู่ที่ใจเหมือนร่างกายมนุษย์เกิดดับที่ใจ แต่มันควบคุมใจได้ มันเกิดดับแล้วมันควบคุมได้ ถ้ามันเกิดดับมันเกิดแล้วมันอยู่กับใจตลอดไป เราไม่สามารถชำระกิเลสได้ กรรมถ้าแก้ไขไม่ได้ พระอรหันต์เกิดขึ้นมาไม่ได้ พระอรหันต์เกิดขึ้นมาเพราะการชำระกรรม เห็นไหม

องคุลิมาลฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ แต่เวลาถึงที่สุดแล้วก็สามารถชำระกรรมอันนั้นได้ แต่กรรมอันนี้ชำระที่ใจ แต่สุดท้ายแล้วความเป็นไปของเรื่องกระแสกรรมมันก็ให้ผลมา ให้ผลเป็นเรื่องการกระทบกระทั่ง การโดนที่ว่าโดนเขายิงนกตกปลา โดนให้เลือดตกยางออกนั่นน่ะ อันนั้นมันเศษของกรรม ชีวิตเขา ๙๙๙ ศพฆ่าเขามา แล้วชำระกรรมของเราได้ เห็นไหม นี่แก้ไขกรรมถึงว่าทำได้

ถ้าเราว่าเรามีกรรม เราเคยทำความผิดพลาดมา เราไม่มีโอกาส ชักองคุลิมาลขึ้นมาเป็นครูเป็นอาจารย์ ทำไมท่านฆ่ามาขนาดนั้น ท่านยังทำของท่านได้ ทำไมเราจะทำของเราไม่ได้ เราความผิดจะมากขนาดนั้นหรือ ความผิดพลาดของเราไม่เคยมากขนาดนั้นหรอก เราสามารถทำได้ ถ้าเรามีความเข้มแข็งของเรา เราทำใจของเรา เราทำใจของเราขึ้นมา เราทำของเราได้ นั่นน่ะมันก็เป็นผลของเรา

แล้วชีวิตมันมีคุณค่า มีคุณค่าเพื่อจะพ้นออกไปไง เพื่อจะดำรงการประพฤติปฏิบัติไง เพราะโอกาสอย่างนี้มันหาได้ยากมากนะ โอกาสที่ว่าเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนาเจริญรุ่งเรืองกำลังประพฤติปฏิบัตินี่ มันหาได้ยาก ถ้าคนชักนำ ครูบาอาจารย์ชักนำมีอยู่ เรายังไม่มีแก่ใจที่จะทำ คิดดูสิว่าเราออกไปหรือว่าเราทำของเราไปน่ะ มันจะเป็นไปตามขนาดไหน มันก็เป็นไปตามความเห็นของตัว เป็นไปตามกิเลส เป็นไปวนเวียนไป มันหมดมันก็ต้องทุกข์ยาก ต้องเกิดต้องตายทุกข์ยากไปในโลกนี้ไป

แต่ถ้าฝืน ถ้าฝืนไม่ยอมไปกับเขา ฝืนไม่ไปกับกิเลส ฝืนไปกับธรรม มันก็ทุกข์เหมือนกัน การปฏิบัติ เห็นไหม ทุกข์นี่มันยิ่งกว่าอีก เราประพฤติปฏิบัติ เวลามันทุกข์ขึ้นมาในหัวใจมันก็ทุกข์ของมัน อันนี้ปฏิบัติฝืนกิเลสด้วย แล้วกิเลสมันจะไม่ให้โทษเป็นสองชั้นสามชั้น เห็นไหม มันฝืนกิเลสด้วย แล้วเอาชีวิตเข้าแลก ตายก็ไม่ว่าขอให้มันตายไป เพราะหวังอันนั้นน่ะ หวังอันที่ว่ามันหลุดพ้นได้ หวังอันที่ว่าจะไม่กลับมาเกิดอีก

ถ้าไม่กลับมาเกิดอีก มันก็ไม่ต้องมาทุกข์อย่างนี้อีก เห็นไหม อันนี้ถ้ามันยอมสภาพนี้ไป มันก็เวียนตายเวียนเกิดอีก ยอมสภาพของความทุกข์ ความทุกข์มันก็ต้องให้ผลต่อไป มันก็ต้องเกิดมาพบกับความทุกข์นี้อีก ถ้าพบกับความทุกข์นี้อีก มันก็ต้องทุกข์ต่อไปข้างหน้า ถ้าเราพยายามฝืนของเรา เราจะทุกข์ขนาดไหนให้มันทุกข์ไป

แต่มันจะพ้นจากทุกข์นี้ได้เพราะว่ามันมีมรรคอริยสัจจัง มันมีความจริง มรรคผลนิพพานมีอยู่ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติมีอยู่ ผลมีอยู่แล้ว มันขาดเฉพาะความเพียรของเรา ขาดเฉพาะความจงใจของเรา ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก เห็นไหม “ถ้าผู้ปฏิบัติจริงสมควรแก่ธรรมนะ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ต้องพ้นไปได้”

๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี... ๗ ปีนี่ทำให้มันคงเส้นคงวาไป ๗ ปีนี่ต้องพ้นได้แน่นอน ๗ ปีนี่เป็นเวลาที่ยาวนานที่สุด แต่ว่า ๗ วัน ๗ เดือนนี่ ถ้ามันพ้นได้ ขิปปาภิญญานี่...มันจะพ้นไปได้เลย พ้นจากไปได้ นั้นเป็นคุณค่าของชีวิตไง

ชีวิตนี้ถ้าพูดถึงเวลามันทุกข์ มันทุกข์มาก เวลานี่วันหนึ่งเหมือนกับปีหนึ่ง แต่ถ้ามีความสุขนะเวลานี่ชั่วครั้งชั่วคราว มีความสุขอยากอยู่นานๆ มันก็หมดไปด้วยความรวดเร็ว ชีวิตนี่ เห็นไหม ชีวิตที่เราใช้อยู่นี่ แล้วชีวิตในการประพฤติปฏิบัติ ชีวิตในการหวังผล หวังมรรคผลนิพพาน หวังที่สุดแห่งชีวิต ที่สุดแห่งกิเลสเลย ต้องหวังขนาดนั้นนะ พระพุทธเจ้าวางมรรคผลไว้ขนาดนั้น ถ้าศาสนาพุทธเรามันยอด ยอดตรงนี้

เพชรในศาสนาพุทธ ยอดเพชรคือว่าผู้เข้าถึงธรรม ถ้าเข้าถึงธรรมแล้วมันจะเข้าถึงสัจจะความจริง นั่นน่ะมันเป็นผลของศาสนา ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากังวานในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ กังวานในใจของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นมีความกังวานในใจ มันจะรู้ มันเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ แล้วมันยังเป็นที่พึ่งของหมู่คณะได้ เห็นไหม เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกได้ ถ้าใจดวงนั้น เพราะอะไร?

เพราะเคยผ่านมา คนทำอะไรเป็นมันก็เป็นโดยธรรมชาติของมัน คนไม่เป็น เห็นไหม เราว่ายน้ำเป็น เราขี่จักรยานเป็นนี่ กี่ปีกี่ชาติมันก็ขี่ได้ มันก็ทำได้ของมัน เพราะมันเป็นแล้ว ถ้าไม่เป็นมันก็คือไม่เป็น เห็นไหม ถ้าไม่เป็นทำอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแล้วนี่มันเห็นว่าเป็น มันชี้แนะได้ ความเป็นไปได้มี คนที่ขี่ไม่เป็นเขาก็คิดว่าอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าคนทำเป็นแล้วมันก็เป็นไปได้

นี่เหมือนกัน ถ้าใจกังวานในใจดวงนั้น ใจดวงนั้นสามารถทำได้ มันจะเป็นผลของใจดวงนั้น นั่นน่ะชีวิตนี้ถึงมีคุณค่าไง ชีวิตมีคุณค่าต้องเป็นชีวิตของเราที่เราจะประพฤติปฏิบัติของเราให้สมความปรารถนา เอวัง